แม้จะเป็นเกมลับแข้ง แต่ก็เป็นเกมลับแข้งในระดับที่ “จริงจัง” สำหรับ เยอรมนี ที่มีหน้าที่ต้องเตะทุกเกมอุ่นเครื่องแบบซีเรียส เพื่อเป็นการเตรียมทีมสำหรับลุย ยูโร 2024 ซัมเมอร์หน้า ดังนั้น การแพ้ต่อ ญี่ปุ่น ขาดลอย 1-4 จึงไม่ใช่เรื่องที่สามารถยอมรับได้ โดยเฉพาะว่ามันคือฟอร์มและผลการแข่งขันที่เลวร้ายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทุกฝ่ายก็มองกันว่า นี่คือฟางเส้นสุดท้ายแล้วที่ เดเอฟเบ จะอดทนกับ ฮันซี่ ฟลิค
,
อาจพอตีความได้ว่าการ “ตกรอบแรก” ฟุตบอลโลก 2022 เมื่อปลายปีก่อน คงคล้ายๆ “อุบัติเหตุทางฟุตบอล” ที่เกิดขึ้นกับชาวคณะ อินทรีเหล็ก ประเภทเกิดขึ้นนานทีหลายปีหน
,
เพราะเอาเข้าจริง 4 แต้มที่ได้จาก 3 เกมก็ไม่ขี้เหร่ เยอรมนี ของ ฮันซี่ ฟลิค อาจออกสตาร์ทด้วยการแพ้ต่อ ญี่ปุ่น 1-2 ชนิดโดนรัวสองเม็ดใน 15 นาทีท้าย แต่หลังจากนั้นก็ฮึดขึ้นด้วยผลเสมอ สเปน 1-1 และชัยชนะแบบยิงถล่ม คอสตาริกา 4-2
,
ปัญหาก็คือ การ “ยืมจมูกกระทิง” หายใจในเกมปิดกลุ่ม ออกหน้าล้มเหลวเมื่อ สเปน (ไม่รู้ตั้งใจรึเปล่า) ต้านทานความร้อนแรงของกองทัพซามูไรไม่อยู่ แพ้ 1-2 ส่งผลให้ ญี่ปุ่น ควงแขน สเปน เข้ารอบน็อกเอาต์ ปล่อยให้ เยอรมนี ที่ก็มี 4 แต้มเท่า สเปน นั่นแหละ ร่วงไปด้วยการเป็นอันดับ 3 ด้วยแพ้ในเรื่องผลต่างประตูได้เสีย (+1 : +6)
,
หลุดออกจากบอลโลกที่กาตาร์แบบงงๆ ซึ่งนับเป็นการตกรอบแรก เวิลด์คัพ 2 ทัวร์นาเมนต์ติดต่อกัน เพียงแต่เมื่อเข้าสู่ปี 2023 แล้ว ก็ถือว่า เยอรมนี เริ่มต้นได้ดี ลงอุ่นเครื่องสยบ เปรู 2-0 นิคลาส ฟุลล์ครุก หัวหอกร่างยักษ์ (ที่เพิ่งย้ายสู่ ดอร์ทมุนด์ เมื่อไม่กี่วัน) เหมาสองตุง
,
ชัยชนะเหนือ เปรู ถือเป็นการออกสตาร์ทคิว “อุ่นเครื่องเดอะซีรี่ส์” ที่ดี ซึ่ง เยอรมนี จะต้องเจอไปนานนับปี เนื่องด้วยพวกเขาเตรียมจะเป็นเจ้าภาพ ยูโร 2024 ทำให้ได้สิทธิ์รอเล่นรอบสุดท้ายทันที เท่ากับจะได้เล่นแต่เกมอุ่นเครื่องล้วนๆ ยาวไปเป็นสิบนัดจนกระทั่ง ยูโร มาถึงตอนซัมเมอร์หน้า
,
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครกล้าเชื่อแน่ถ้าบอกในตอนนั้นว่า เยอรมนี จะไม่สามารถเอาชนะใครได้เลยไปอีก 5-6 นัดติดต่อกัน
,
ปรากฏว่านั่นคือเรื่องจริง…
,
ก็ถ้าการแพ้ โคลอมเบีย คาบ้านที่เกลเช่นเคียร์เช่น 0-2 เมื่อกลางเดือน มิ.ย. ว่าหนักแล้ว
,
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเสาร์ที่ผ่านมา นิยามได้เลยว่า “วิกฤต” แล้วจ้า
,
ว่าไปแล้ว 11 ตัวจริงที่ ฮันซี่ ฟลิค เลือกใช้สำหรับการลงสนามที่ โฟล์คสวาเก้น อาเรน่า เมืองโวล์ฟสบวร์ก ก็ไม่ใช่ว่าขี้เหร่ ขาดตัวเจ็บสำคัญแค่ นิคลาส ฟุลล์ครุก กับ จามาล มูเซียล่า (และ มานูเอล นอยเออร์) ขณะที่ มาร์โก รอยส์, ติโม แวร์เนอร์, เลออน โกเร็ตซ์ก้า ไม่ได้ถูกเรียกตัว
,
ในระบบ 4-2-3-1 มาร์ก-อันเดร แทร์ ชเตเก้น เฝ้าเสา แผงหลังมี โยชัว คิมมิช, นิคลาส ซูเล่, อันโตนิโอ รูดิเกอร์, นิโก้ ชล็อทเทอร์เบ็ค ส่วนมิดฟิลด์คู่กลางเป็น อิลคาย กุนโดกัน กับ เอ็มเร่ ชาน และเกมรุกให้ โฟลเรียน เวิร์ตซ์, แซร์จ นาบรี้ และ เลรอย ซาเน่ ปั้นเกมหลังหอกเป้า ไค ฮาแวร์ตซ์
,
ด้าน ญี่ปุ่น ของ ฮาจิเมะ โมริยาสุ ขนตัวยุโรปลงอื้อ นำโดยกัปตัน วาตารุ เอ็นโดะ (ลิเวอร์พูล), ทาเคฮิโระ โทมิยาสุ (อาร์เซน่อล), จุนยะ อิโตะ (แร็งส์), ไดจิ คามาดะ (ลาซิโอ) อายาเซะ อุเอดะ (เฟเยนูร์ด) และ คาโอรุ มิโตมะ (ไบรท์ตัน)
,
แค่ 12 นาทีเท่านั้น ตาข่ายของ เยอรมนี ก็สั่นไหวเป็นประเดิม จังหวะขึ้นเกมทางริมเส้นฝั่งขวา ยูกินาริ สุกาวาระ ปาดเข้าเขตโทษให้ จุนยะ อิโตะ โฉบเข้าชาร์จตุงตาข่าย
,
แต่ เยอรมนี ก็ตีเสมอได้เร็วในนาที 19 ฟลอเรียน เวิร์ตซ์ เก็บบอลหน้ากรอบก่อนถ่ายเข้าเขตโทษฝั่งขวาให้ เลรอย ซาเน่ เอียงตัวแปด้วยซ้ายสวนทางนายทวารเข้าไป
,
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น ถ้าไม่ตีตราว่า “OUTCLASSED” ก็ใกล้เคียง ด้วยปัญหาที่เห็นชัดมากเว่อร์ๆ ว่าคู่เซนเตอร์แบ็กอินทรีเหล็ก นิคลาส ซูเล่ – อันโตนิโอ รูดิเกอร์ ไม่สามารถรับมือกับความเร็วของแนวรุกซามูไรได้เลย มีทั้งจ่ายบอลพลาด ยืนตำแหน่งพลาด และเปิดพื้นที่ให้ได้เข้าทำอย่างต่อเนื่อง (เช่นกัน มิดฟิลด์ตัวรับทั้ง ชาน และ กุนโดกัน และสำรอง ปาสกาล โกรสส์ ต่างก็เล่นได้แย่)
,
น.22 ญี่ปุ่น นำอีกหน 2-1 จุนยะ อิโตะ ปาดเปลี่ยนทางบอลไปตรงกลาง อายาเซะ อุเอดะ ยิงต่อโล่งๆ เข้าเสียบเสา
,
น.23 – 80 กว่าๆ แทร์ ชเตเก้น ต้องเซฟช่วยทีมไว้ประมาณ 4-5 ครั้ง
,
น.90 ทาเคฟุสะ คุโบะ ทะลุเดี่ยวเข้าเขตโทษฝั่งขวา ก่อนถวายพานให้ ทาคุมะ อาซาโนะ ยิงง่ายดายเข้าไปไม่เหลือ
,
น.90+2 คุโบะ หยอดเข้าเขตโทษใส่หัว อาโอะ ทานากะ ขวิดกระดอนพื้นเข้าเสาสอง
,
จบเกมที่ เยอรมนี แพ้ ญี่ปุ่น เละเทะยับเยิน 1-4 …ใครมันจะไปเชื่อ!
,
หนึ่งคือ คู่ CB ปวกเปียกมาก เชื่องช้า ตามไม่ทัน
สองคือ เกมรุกไม่เวิร์ค ไค ฮาแวร์ตซ์ ไม่ถนัดกับการยืนหน้าเป้า (แล้วถนัดตรงไหน?)
สามคือ ความมั่นใจไม่ได้ ยิ่งเล่นยิ่งเละ
และสี่–สำคัญสุด ก็คือ ฮันซี่ ฟลิค ดูจะไม่อาจเป็น “คนที่ใช่” ของ เยอรมนี แต่อย่างใด หลังนั่งเก้าอี้มาตั้งแต่กลางปี 2021
,
ฟลิค คุมทีมอินทรีเหล็กลงสนาม 25 นัด ชนะได้ไม่ถึงครึ่ง — ชนะ 12 เสมอ 7 แพ้ 6
,
1-4 ญี่ปุ่น นี่คือความพ่ายแพ้ย่อยยับที่สุดครั้งหนึ่งของ เยอรมนี ถัดจากที่แพ้ สเปน 0-6 ใน ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก เมื่อสามปีก่อน
,
และอย่างที่เห็นกัน เยอรมนี ชนะไม่เป็นในตลอด 5 เกมหลัง ที่เป็นเสมอ 1 แพ้ 4 — โดนยิงรวม 13 ประตูใน 5 เกม
,
“เราไม่ดีพอในตอนนี้” อิลคาย กุนโดกัน รับเสียงอ่อยหลังเกม “นี่คือวันที่ขมขื่นอย่างแท้จริง เราต้องตั้งคำถามกับตัวเองอย่างจริงๆ จังๆ แล้ว”
,
“สิ่งที่ต้องขีดเส้นใต้คือ นี่คือความพ่ายแพ้ที่คู่ควร” โยชัว คิมมิช ว่าต่อ “เราเล่นเกมบุกไม่ได้เลยในครึ่งหลัง เราไม่มีเกมที่ดีเลยด้วยซ้ำนับตั้งแต่หมดฟุตบอลโลก สิ่งเหล่านี้ทำให้เราต้องหยุดมองตัวเอง ตั้งคำถามถึงคุณภาพของเรากันเองแล้ว”
,
ส่วนทาง รูดี้ โฟลเลอร์ นิยามเพียงสั้นๆ ต่อความพ่ายแพ้ครั้งนี้ว่า “น่าขายหน้า”
,
ด้านเจ้าตัว ฟลิค แม้ยังกล้าๆ ยืนยันว่าตัวเขานี่และ เหมาะสมแล้วกับงานนี้ แต่ทุกฝ่ายล้วนมองว่า ในไม่กี่วันข้างหน้า ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นกับ เยอรมนี อีกครั้งอย่างแน่นอน
,
เพราะการแพ้ต่อ ญี่ปุ่น 1-4 และการแพ้ 4 จาก 5 เกมหลัง (บวกกับตกรอบแรกบอลโลก) มากเพียงพอแล้วที่ เดเอฟเบ จะสั่งเชือด ฟลิค พ้นเก้าอี้
,
ส่วนเกมถัดไป อังคาร 12 ก.ย. ที่จะลงชนของแข็งอย่าง ฝรั่งเศส ในเวสต์ฟาเล่น ถ้าโดนยิงยับขึ้นมาอีกก็คงเป็นการส่ง ฟลิค กลับบ้านแบบเบ็ดเสร็จ ไม่ต้องพูดแก้ตัวอะไรเพิ่มเติม
,
“มันอาจฟังดูแปลกๆ หน่อยที่ เยอรมนี จะยึดเอาสาระสำคัญกับ 2 เกมอุ่นเครื่อง” ราฟาเอล โฮนิกชไตน์ แห่ง BBC Radio 5 ให้ทรรศนะ “แต่ ฟลิค กำลังอยู่ในความกดดันหนัก และเขาจะทำเป็นเล่นไม่ได้เด็ดขาด”
,
“เกมเมื่อครั้งก่อน (แพ้ โปแลนด์ และ โคลอมเบีย) ว่าแย่มากแล้ว แต่การแพ้ ญี่ปุ่น (และฝรั่งเศส) คงถือได้ว่าเป็นจุดสิ้นสุดยุคสมัยของเขาอย่างไม่เป็นทางการ”
,
“ถ้าเกิด เยอรมนี แพ้ด้วยฟอร์มที่แย่ๆ ในทั้งสองนัดของเดือนนี้ เดเอฟเบ จะถูกบังคับให้ตัดสินใจ เพราะแรงกดดันจากภายนอกจะเป็นสิ่งที่ไม่อาจแบกรับได้ไหว”
,
อัลบั้มภาพ 12 ภาพ
,
ของหมวด ฟุตบอลต่างประเทศ
,
ชวนสนุกเพลิดเพลินไปกับศูนย์รวมเกมที่น่าสนใจที่นี่
,
ติดตามSport
,
ผลบอลสด โปรแกรมบอล พร้อมข้อมูลก่อนเตะ ข่าวสารฟุตบอลทั้งไทยและลีกชั้นนำ รวมถึงกีฬาอื่นๆ จากทุกมุมโลก ร่วมเป็นแฟนเพจเราบน Facebook ได้ที่นี่!!